วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

บทที่ 4 และ 5 (Manop Pithukpakorn, MD )

บทที่ 4 การสมัครและสอบ USMLE

ปัจจุบันการสอบ USMLE นั้นเป็นการสอบกับคอมพิวเตอร์ทั้งหมด (Computer based testing : CBT) ซึ่งรับผิดชอบโดยสถาบันที่ชื่อว่า Sylvan Prometric ซึ่งสถาบันนี้รับจัดสอบมากมายหลายประเภท ใครที่เคยสอบ GRE หรือ GMAT ที่เป็นคอมพิวเตอร์ หรือสอบ TOEFL แบบคอมพิวเตอร์คงจะคุ้นเคยดี ศูนย์สอบของ Sylvan Prometric นี้มีหลายร้อยแห่งทั่วโลก

สำหรับเมืองไทยนั้นตั้งอยู่ที่อาคารซิตี้แบงค์ ถนนสาทร ในการสอบแต่ละ Step จะใช้เวลาสอบ 1 วัน สำหรับ Step 1 ใช้เวลาสอบราว 8 ชม. และ Step 2 ราว 9 ชม. ก่อนสมัคร เราจะต้องเลือกช่วงเวลาสอบเสียก่อนว่าจะสอบช่วงใด ช่วงการสอบหรือ eligibility peroid จะแบ่งย่อยออกเป็นช่วงละ 3 เดือน เมื่อเราสมัครสอบช่วงใดแล้วจะสอบได้ในช่วงนี้เท่านั้น แต่สามารถจะเลือกสอบวันใดก็ได้ที่สถาบันจัดสอบเปิดให้ในช่วงนั้น ซึ่งจะต้องแจ้งศูนย์สอบก่อนอย่างน้อย 5 วันทำการ

ถ้าต้องการสมัครเพื่อสอบทั้ง Step 1 และ 2 ก็สามารถเลือกสอบใน peroid เดียวกันหรือต่างกันก็ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครจะไม่สามารถเลือกช่วงสอบที่เริ่มการสอบในขณะที่สมัครได้ และ ECFMG กำหนดให้เลือกช่วงการสอบที่เริ่มหลังจากวันที่สมัครไปอย่างน้อย 4 สัปดาห์เพื่อใช้เวลาในการจัดวันสอบ ถ้าผู้สมัครเลือกช่วงการสอบที่ไม่สามารถจัดสอบให้ทัน ECFMG จะเลื่อนช่วงการสอบไปยังช่วงถัดไปโดยอัตโนมัติ สำหรับผู้ที่สอบไม่ผ่าน ECFMG อนุญาตให้สมัครเพื่อสอบซ้ำอีกหลังการสอบครั้งสุดท้ายไม่น้อยกว่า 60 วัน และไม่อนุญาตให้สอบซ้ำมากกว่า 3 ครั้งในช่วงเวลา 12 เดือน เมื่อสอบ Step ใดผ่านแล้ว ผู้สอบจะมีเวลาสอบ 7 ปีในการสอบอีก Step ให้ผ่าน

นอกจากการสอบ USMLE ทั้ง 2 Step แล้วยังมีการสอบภาษาอังกฤษที่ทุกคนคุ้นเคยดีคือ TOEFL ซึ่งจะเลือกสอบก่อนหรือหลังก็ได้ โดยก่อนเริ่มสอบต้อง request ให้ส่งคะแนนสอบไปยัง ECFMG หมายเลขสถาบัน 9108 และส่งใบ TOEFL Acceptance request form พร้อมค่าธรรมเนียม 40 เหรียญไปยัง ECFMG

ค่าสมัครสอบ USMLE สำหรับปี 2003 นั้นประกอบด้วย 1. ค่าสมัครสอบ Step 1 และ 2 Step ละ 660 เหรียญ 2. ค่าธรรมเนียมสำหรับศูนย์สอบของ Sylvan Step 1 เท่ากับ 110 เหรียญ และ Step 2 เท่ากับ 120 เหรียญ นับว่ามากพอดู ถ้ารวมกับค่าสมัครสอบ TOEFL อีก 110 เหรียญ และค่า TOEFL Acceptance fee อีก 40 เหรียญ รวมแล้วเท่ากับ 660+660+110+120+120+40 = 1,710 เหรียญ (ราว 7 หมื่นบาทเศษ) ซึ่งยังไม่รวมค่าสมัครสอบ CSA และค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาสอบอีก

ดังนั้น ผู้ที่คิดจะสอบต้องมีความแน่วแน่ และคิดอย่างรอบคอบ มีจุดมุ่งหมาย การสอบครั้งหนึ่งเสียเงินหลายหมื่นบาท ถ้าสอบตามแฟชั่นเพราะเห็นเขาก็สอบกัน ก็เสียเงินเสียเวลาเปล่า ทีนี้เมื่อสมัครแล้ว จะเตรียมสอบกันยังไง ? สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์ กลัวว่าไปสอบจริง ก็จะเสียเวลาเรียนรู้ ใช้ไม่เป็น ฯลฯ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เนื่องจาก ECFMG จะจัดส่ง CD ตัวอย่างการทดสอบให้ได้เรียนรู้วิธีใช้และฝึกฝนการสอบกับคอมพิวเตอร์หลังจากได้สมัครสอบแล้ว

บทที่ 5 USMLE Step 1 & 2

การสอบ USMLE Step 1 ประกอบด้วยข้อสอบที่เรียกว่า Basic medical science ครอบคลุมเนื้อหาในวิชาปรีคลินิคทั้งหมด ได้แก่ Anatomy, Biochemistry, Physiology, Pathology, Pharmacology, Microbiology, Immunology และวิชาที่เรียกว่า behavioral science. ลักษณะข้อสอบส่วนใหญ่เน้นทั้งรายละเอียดและการประยุกต์ใช้ ในปัจจุบันจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับระดับอณูมากขึ้นเรื่อย ๆ

อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์การสอบและที่ได้แนะนำรุ่นน้อง ๆ ในการสอบ รวมทั้งคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการสอบมาแล้ว USMLE Step 1 สามารถเตรียมสอบได้โดยการอ่านหนังสือชั้นปรีคลินิคที่เรียนในชั้นเรียนได้ สำหรับวิชา Anatomy นั้นจะมีในข้อสอบไม่มากนัก และเน้นเกี่ยวกับ cell biology เกือบทั้งหมด ส่วน Biochemistry, Physiology, Microbiology, Immunology และ Pathology สามารถอ่านเพิ่มเติมใน Standard textbook ของแต่ละสาขาได้ นอกจากนั้น หนังสือภาษาไทยบางเล่ม ยังสามารถอ่านทดแทน textbook ได้เลย เช่น ตำราอิมมูโนวิทยา ของศิริราช สำหรับวิชาที่เป็นจุดอ่อนของนักศึกษาแพทย์และแพทย์ไทย ใน Step 1 ได้แก่ behavioral science เพราะไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนแพทย์ อีกทั้งไม่มีตำราอ่านได้ทั่วไป จำเป็นต้องหาตำราเฉพาะซึ่งมีหลายเล่ม เช่นตำราของ NMS เป็นต้น

สำหรับ USMLE Step 2 หรือ Clinical science นั้นการเตรียมตัวอาจจะไม่ลำบากและยุ่งยากเท่า Step 1 เพราะเนื้อหาเป็นเนื้อหาวิชาที่นักศึกษาแพทย์และแพทย์คุ้นเคยกันดี อย่างไรก็ตาม การเตรียมตัวสอบก็ยังมีความจำเป็น และตำราที่ใช้เรียนไม่ว่าจะเป็นตำราภาษาไทยและ textbook ก็สามารถใช้ได้ดี แต่เช่นเดียวกันกับ Step 1 คือมีบางวิชาที่เป็นจุดอ่อนของนักศึกษาแพทย์และแพทย์ไทย นั่นคือ community medicine และ psychiatry เนื่องจากวิชาแรกนั้นเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับระบ

บทที่ 3 ECFMG & USMLE (Manop Pithukpakorn, MD )

บทที่ 3 ECFMG & USMLE ECFMG และ USMLE คืออะไร ?

ECFMG ย่อมาจาก Educational Commission for Foreign Medical Graduates เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับการเข้าฝึกอบรมหรือศึกษาต่อในประเทศสหรัฐอเมริกาของแพทย์ต่างชาติ มีสำนักงานใหญ่ที่เมือง Philadelphia รัฐ Pennsylvania

โดยเป็นตัวแทนของประเทศสหรัฐอเมริกาในการจัดทดสอบความรู้เพื่อให้ได้ประกาศนียบัตร หรือ ECFMG Certificate เป็นการรับรองว่ามีความรู้ความสามารถทางการแพทย์เพียงพอที่จะเข้าฝึกอบรมในประเทศของเขาได้ โดยอาศัยการทดสอบที่เรียกว่า United States Medical Licensing Examination (USMLE) ซึ่งเป็นการสอบวัดความรู้ข้อสอบเดียวกัน กับการสอบเพื่อใบประกอบวิชาชีพ ของนักศึกษาแพทย์ในสหรัฐอเมริกาทั่วประเทศที่จัดโดย National Board of Medical Examiner (NBME)

การสมัครเพื่อสอบให้ได้ ECFMG Certificate การจะให้ได้ Certificate นี้ประกอบด้วย การสอบใหญ่ 4 ชนิด (ได้แก่ USMLE Step 1 และ 2, การสอบภาษาอังกฤษคือ TOEFL และการสอบ CSA) และการส่งหลักฐานประกอบการสมัครต่าง ๆ อีกหลายอย่าง ว่าเรามีคุณสมบัติเหมาะสมในการสมัครและได้ Certificate

คุณสมบัติของผู้สมัครประกอบด้วย

1. จบการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิตจากสถาบันการศึกษาที่ได้รับการรับรองจาก WHO โดยจะมีรายชื่อสถาบันใน FAIMER (The Foundation for Advancement of International Medical Education and Research) ซึ่งตรวจสอบรายชื่อได้ที่ http://imed.ecfmg.org

สำหรับปี 2003 นี้สถาบันที่ได้รับการรับรองมี 12 สถาบัน ได้แก่ ศิริราช, รามา, จุฬา, ธรรมศาสตร์, วพม., กทม./วชิรพยาบาล, ศรีนครินทรวิโรฒ, รังสิต, เชียงใหม่, ขอนแก่น, สงขลา และนเรศวร

2. ได้รับใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพเวชกรรมแล้ว
ส่วนเอกสารการสมัครประกอบด้วย
  • 1. ใบสมัครสอบซึ่งกรอกรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว และมีลายเซ็นรับรองของคณบดีของคณะแพทยศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษา สำหรับใบสมัคร สามารถขอได้จากคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งบางสถาบันอาจมีอยู่ หรือขอโดยตรงได้จาก ECFMG โดยเขียนจดหมายเพื่อขอใบสมัครได้ที่ ECFMG 3624 Market Street Philadelphia, PA 19104-2685 USA หรือพิมพ์ใบสมัครจากเวบไซท์ได้โดยตรง หรือให้ง่ายยิ่งขึ้น

ในปัจจุบันผู้ที่มีคอมพิวเตอร์ที่ต่ออินเตอร์เน็ท, มีอีเมลล์ และบัตรเครดิต VISA หรือ Mastercard สามารถสมัครได้โดยตรงผ่านเวบไซท์ www.ecfmg.org
  • 2. รูปถ่าย 2 รูป
  • 3. สำเนาใบปริญญาบัตรและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม อย่างละ 2 ฉบับ (ถ่ายเอกสารในกระดาษขนาด A 4 หรือ 8.5 x 11 นิ้วเท่านั้น)
  • 4. ใบแปลใบปริญญาบัตรเป็นภาษาอังกฤษ (ขอได้จากมหาวิทยาลัย) และใบแปลใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม (ขอได้จากแพทยสภา) อย่างละ 1 ฉบับ

หลังจากสมัครเรียบร้อยแล้ว การเปลี่ยนแปลงหรือเลือกวัน และสถานที่สอบ รวมทั้งกิจกรรมทุกอย่างกับ ECFMG ได้ทางเวบไซท์ OASIS (Online Application Status and Information System) ที่จัดไว้โดยเฉพาะ

มาถึงขั้นนี้อาจมีคำถามว่า แล้วนักศึกษาแพทย์ที่ยังไม่จบ จะสอบได้หรือเปล่า ก็บอกได้เลยว่าได้ครับ แต่เมื่อสอบได้ครบทุกอย่างแล้ว จะยังไม่ได้ Certificate จนกว่าจะได้ส่งเอกสารการสมัครในข้อ 3 และ 4 ไปยัง ECFMG เพื่อตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ใน USMLE Step 1 อนุญาตให้นักศึกษาแพทย์ที่สำเร็จการศึกษาชั้นปรีคลินิคแล้วสอบได้ (คือปี 4 ขึ้นไป) และผู้ที่สอบ Step 2 ได้จะต้องเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ศึกษาในปีสุดท้าย (คือปี 6)

บทที่ 2 เริ่มเตรียมตัว (Manop Pithukpakorn, MD )

บทที่ 2 เริ่มเตรียมตัว

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการตั้งต้นเตรียมตัว เพื่อมีจุดมุ่งหมายเรียนต่อในต่างประเทศ คือเริ่มตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ เนื่องจากประกอบด้วยขั้นตอนหลายอย่าง ขั้นตอนแรกคือการสอบเพื่อประกาศนียบัตรจาก Educational Commission for Foreign Medical Graduates หรือ ECFMG Certificate นั้นเป็นการสอบเพื่อวัดความรู้การแพทย์ตั้งแต่ชั้นปรีคลินิคและคลินิค อีกทั้งเนื้อหาการสอบยังมีข้อปลีกย่อยบางอย่าง แตกต่างจากเนื้อหาการเรียนของประเทศไทย ดังนั้นจึงต้องขยันเรียน, อ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ และฝึกทำแนวข้อสอบของ ECFMG ด้วย จากเนื้อหาที่มาก การเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ ทำให้การสอบนั้นประสบความสำเร็จมากกว่า

นอกจากนั้นการขยันเล่าเรียน และปฏิบัติงานให้ดี ยังมีผลในการขอจดหมายรับรอง (recommendation letters) ที่ดีมากจากอาจารย์ ซึ่งจะใช้ในการสมัครในสถาบันที่สนใจต่อไปด้วย แต่ช่วงนักศึกษาแพทย์นั้นเราไม่ค่อยจะมีความสนใจในการมองอนาคตในการศึกษาต่อต่างประเทศ ด้วยความไม่รู้รายละเอียดหรือไม่ทราบมาก่อน ไม่รู้จะเรียนอะไรหรือชอบสาขาไหน กว่าจะมาสนใจหรือรู้เรื่องก็เกือบจบหรือจบกันไปแล้ว (อย่างผมเองไม่เคยรู้จักการสอบหรือการสมัครอะไรทั้งสิ้น จนเกือบจะจบ extern โน่น ถึงจะทราบว่าเขามีอะไรกันบ้าง)

ทีนี้จะทำอย่างไรกันดี บอกได้เลยว่ายังไม่สายไปหรอกครับ ดีเสียอีกเพราะว่าเราจะได้ทราบว่าเราสนใจจะเรียนต่อในสาขาไหน โดยเฉพาะคนที่เรียนดี ๆ ก็มักไม่มีผลอะไรอยู่แล้วเพราะตอนเรียนก็ขยันและปฏิบัติงานได้ดี ไม่น่าห่วงอะไร จะสมัครเพื่อเรียนต่อ ต้องทำอย่างไรล่ะ ถ้าคุณยังไม่ทราบรายละเอียดอะไรเลย แต่คิดว่าอยากสมัครเรียนต่อในต่างประเทศ หนทางยังอีกยาวไกลนัก ยังไม่ต้องมองไปถึงจุดนั้นหรอกครับ มาก้าวกันไปทีละขั้นดีกว่าครับ เนื่องจากผมเองมีประสบการณ์ในการสมัครเข้าศึกษาต่อเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้นเอง อีกทั้งประเทศสหรัฐอเมริกามีการสมัครและสอบที่ชัดเจนเป็นระบบ และเป็นที่นิยมของแพทย์หรือนักศึกษาแพทย์ไทยมากกว่าประเทศอื่น

ดังนั้นบทความนี้จะอิงรายละเอียดของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลักครับ ส่วนประเทศอื่นผมจะลงรายละเอียดในภายหลัง ผมจะแบ่งขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้ครับ - การสอบเพื่อ ECFMG Certificate - การสมัครสถาบันฝึกอบรม - การสมัคร National Resident Matching Program (NRMP) - การเตรียมตัวสัมภาษณ์ - การเลือกสถาบัน และวันประกาศผล เรามาติดตามรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนกันเลยครับ

ทำไมต้องเรียนต่อต่างประเทศ ( Manop Pithukpakorn, MD )

บทที่ 1 ทำไมต้องเรียนต่อต่างประเทศ
ทำไมต้องเรียนต่อต่างประเทศ สำหรับนักศึกษาแพทย์ รวมถึงแพทย์จบใหม่ ผมเชื่อว่ามีไม่น้อยที่ตั้งใจอยากจะเรียนต่อ โดยเฉพาะการเรียนต่อเฉพาะทาง มีคำถามรวมถึงข้อสงสัยมากมายเข้ามาถามเกี่ยวกับการเลือกเรียนต่อสาขาอะไรดี มีที่ไหนบ้างที่เขาเปิดรับ จะสมัครเรียนที่นี่ดีไหม ทำอย่างไรถึงจะสมัครได้ ฯลฯ แต่มีไม่น้อยเช่นกันที่สงสัยเกี่ยวกับการเรียนต่อในต่างประเทศ แล้วเราจะเรียนต่อต่างประเทศไปทำไม ในเมื่อเมืองไทยก็มีการฝึกอบรมเฉพาะทางสาขาต่าง ๆ เกือบครบทุกสาขาเท่าที่ต่างประเทศเขามี ?
นี่เป็นคำถามที่ดีครับ ซึ่งผมเห็นว่านักศึกษาแพทย์ แพทย์จบใหม่ทุกคน ควรจะต้องตอบคำถามข้อนี้ให้ได้ก่อนจะตัดสินใจเลือกจะไปเรียนต่อในต่างประเทศว่า ทำไมเราถึงต้องไปเรียน เช่น ไม่มีสาขาวิชานี้ฝึกอบรมในประเทศไทย, อนาคตทำงานในโรงเรียนแพทย์, ต้องการประสบการณ์การเรียนและใช้ชีวิตในต่างประเทศ เป็นต้น รู้หรือไม่ เรียนต่อต่างประเทศ ไม่ง่ายอย่างที่คิด
การฝึกอบรมเฉพาะทางในเมืองไทยนั้น มีขั้นตอนตรงไปตรงมา ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สถานที่ฝึกอบรมมักเป็น คณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาของรัฐทุกแห่ง รวมถึง โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและกลาโหมขนาดใหญ่ การสมัครสามารถทำได้โดยการติดต่อกับภาควิชาในสถาบันที่เราสนใจจะฝึกอบรม และสมัครเป็นทางการผ่านแพทยสภา แต่ละสถาบันอาจแนววิธีคัดเลือกต่างกันไป เช่น การสัมภาษณ์, ผลการเรียน, ประสบการณ์การปฏิบัติงาน, ต้นสังกัด เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ ผู้ที่สนใจฝึกอบรมในสาขาต่าง ๆ มักไม่มีปัญหาในการหาสถานที่ฝึกอบรม จะเว้นก็ในสาขาที่มีการฝึกอบรมน้อยและได้รับความนิยมมาก เช่น ตจวิทยา (ผิวหนัง), จักษุ หรือ โสต-นาสิก-ลาริงซ์วิทยา อาจมีผู้เข้าสมัครมากกว่าตำแหน่งที่รับได้ แต่การเลือกฝึกอบรมในต่างประเทศนั้นไม่ง่ายเลย ผู้สมัครต้องผ่านขั้นตอนมากมาย ในการเลือกจะฝึกอบรมต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องสอบเพื่อประกาศนียบัตรจาก ECFMG, การสมัคร, การสัมภาษณ์ ฯลฯ ล้วนแต่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจอ่านหนังสือ และฝึกซ้อมทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังเสียค่าใช้จ่ายสูง เช่นค่าสมัครสอบต่าง ๆ, การสมัครหาที่เรียน, ค่าไปรษณีย์ทั้งจดหมายต่างประเทศชนิดธรรมดาและ EMS, ค่าธรรมเนียมการขอใบรับรอง และ transcript, รวมทั้งการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อสอบและสัมภาษณ์ด้วย อีกทั้งโอกาสในการจะได้เข้ารับการฝึกอบรมยังไม่มากนัก
จากการประมาณมีคนไทยสามารถเข้าฝึกอบรมในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ไม่เกิน 10 คนต่อปี เมื่อเทียบกับตำแหน่งของการฝึกอบรมทุกสาขาในเมืองไทยหลายร้อยตำแหน่ง แล้วเป็นไปไม่ได้เลยหรือ แม้การเลือกฝึกอบรมต่อในต่างประเทศจะเป็นเรื่องยาก แต่มิได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีตำแหน่งฝึกอบรมเฉพาะทางกว่า 2 หมื่นตำแหน่งทุกปี และในจำนวนเหล่านี้มีผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมเป็นชาวต่างประเทศได้รับตำแหน่งประมาณ 15% หมายความว่ามีชาวต่างประเทศกว่า 3 พันคนได้ฝึกอบรมในสหรัฐอเมริกา และบางสาขาเช่น Internal medicine อาจมีชาวต่างประเทศฝึกอบรมอยู่ถึง 25% นอกจากนี้ในบางสาขา ยังมีตำแหน่งเหลือที่มีคนสมัครไม่เต็มอีกด้วย เป็นที่น่าเสียดายว่า ในบรรดาชาวต่างประเทศที่ได้เข้าฝึกอบรมในสหรัฐอเมริกานั้น ส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดียกว่า 50% ที่เหลือเป็นชาวฟิลิปปินส์, จีน และอเมริกาใต้
เกือบทั้งหมด มีคนไทยอยู่น้อยมาก นี่เป็นการจุดประกายให้เกิดบทความนี้ โดยหวังว่าจะเป็นเครื่องมือที่จะใช้แนะแนวทางการเตรียมตัว, การสอบ, การสมัคร รวมทั้งการสัมภาษณ์ สำหรับนักศึกษาแพทย์หรือแพทย์ที่ตั้งใจจะฝึกอบรมในต่างประเทศ และเพื่อนำความรู้กลับมาทำประโยชน์กับเมืองไทย อีกทั้งจะได้เป็นการปูทางให้นักศึกษาแพทย์หรือแพทย์ไทยรุ่นถัด ๆ ไป ได้มีโอกาสไปฝึกอบรมในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

USMLE step 2CS ( บทความจากลูกแม่บัว )

USMLE step 2CS


ขอออกตัวก่อนนะคะว่าสมัยที่ลูกแม่ดอกบัวสอบเนี่ยมันยังเป็น CSA อยู่เลย สอบเสร็จไม่กี่เดือนมันก็เปลี่ยนชื่อ เป็น step 2CS ข้อดีคือตอนนี้ไม่ต้อสอบ TOEFL ก่อนแล้วค่ะstep 2CS เป็นการทดสอบ clinical skills ค่ะ
แบ่งออกเป็น 3 components ดังนี้
1. Integrated Clinical Encounter(ICE) ทดสอบความสามารถในการรวบรวมข้อมูลจากคนไข้ ซักประวัติและตรวจร่างกาย ตลอดจนการจดบันทึกข้อมูล H&P, diagnosis impression และ initial work-up
2. Communication and Interpersonal Skills(CIS) ความสามารถในการถามคำถาม(การใช้คำถามเปิดม การพูดเกริ่นนำก่อนเปลี่ยนเรื่อง) ความสามารถในการให้คำแนะนำ ตอบคำถามและการบอกข่าวกับผู้ป่วย การมีมารยาทและความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ป่วย(เช่น concern เกี่ยวกับผู้ป่วย สุขอนามัยของผู้ตรวจ)
3. Spoken English Proficiency(SEP) ความชัดเจนในการพูดภาษาอังกฤษ อันนี้ขอแนะนำว่า พูดให้ช้าๆชัดค่ะ เค้าจะได้ไม่ถามเราบ่อยแล้วจะได้คะแนนดีข้อสอบจะมีผู้ป่วย 12 cases patient encounter เคลละ 15 นาทีสำหรับซ้กประวัติ ตรวจร่างกาย ให้คำแนะนำ และ 10 นาทีในแค่ละเคสสำหรับเขียน patient record ถ้าเราใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที
ตอนที่เจอกับผู้ป่วย เวลาที่เหลือจะบวกเข้าไปในเวลาสำหรับเชียน patient record รวมๆแล้วใช้เวลาสอบทั้งหมด ประมาณ 8 ชั่วโมงค่ะคะแนนสอบจะบอกแค่ผ่านหรือไม่ผ่าน ไม่บอกเป็นตัวเลขว่าได้คะแนนเท่าไหร่นะคะ สำหรับคนที่ไม่ผ่านเค้าจะบอกว่าอ่อน ในส่วนไหนในสามส่วนนี้
การสมัครสอบสมัครผ่าน ECFMG ค่ะ เค้าจะให้ Eligible Period 12 เดือนหลัง approved ใบสมัครแล้ว เค้าจะส่ง schedule permit มาให้แล้วเราก็ต้องนัดสอบนะคะกรณีที่นัดวันสอบแล้วขอเลื่อนหรือยกเลิกวันสอบได้ ถ้าทำก่อน 5 วันทำการก่อนวันสอบไม่ต้องเสียเงินค่ะ ถ้าทำช่วงใกล้กว่านี้ต้องเสียเงินเพิ่ม ไม่สามารถยืดเวลาสอบได้นะคะ
ถ้าพลาด Eligible Period 12 เดือนนี้ไปแล้วต้องสมัครสอบใหม่สนามสอบตอนนี้มี 5 แห่ง ได้แก่ Atlanta(Georgia), Chicago(Illinois), Houston(Texas), LA(California) และ Philadelphia(Pensylvania)สำหรับผู้ที่จะเข้า 2007 match พยายามนัดวันสอบก่อนวันที่ 1 ก.ค. 2549 และพยายามได้ให้วันสอบก่อนวันที่ 31 ธ.ค.2549 เพื่อที่จะได้ผลทันวัน match ตอนนี้นักศึกษาแพทย์อเมริกันเค้าก็ต้องสอบสเต็ปนี้ด้วยเพราะฉะนั้นพยายามนัดวันสอบล่วงหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะมันเต็มเร็วค่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเดือนพฤษภาถึงมิถุนานะค่าสมัครสอบ$1200ผลสอบจะได้รับผลสอบภายใน 8 สัปดาห์(ปกติ 4-6 สัปดาห์บางทีก็ได้แล้ว)
วันสอบอย่าลืม1. เอา stethoscope ไปด้วย อย่างอื่น เช่น ไฟฉาย ไม้กดลิ้น เข็มหมุด ไม่ต้องเอาไป เขามีให้
2. เอาเสื้อกาวน์ไปด้วย
3. แต่งตัวให้เรียบร้อย ไม่ถึงกับต้องใส่สูท แต่ผู้ชายควรผูกเนคไท ผู้หญิงใส่กระโปรงหรือกางเกงสแลค ใส่รองเท้าคัชชูแบบสุภาพ จะปลอดภัยที่สุดเพราะเขามีคะแนนการแต่งกาย(professional) ให้ด้วย อยากใส่เมคอัพก็ได้นะคะ ทำอะไรก็ได้ที่ดูสุภาพไว้ก่อน
ตอนที่สอบที่แอตแลนต้าเขามีน้ำและอาหารเที่ยงให้ค่ะอ่านหนังสืออะไรดีรีวิวความรู้ clinical ค่ะ ซ้อมซักประวัติ ตรวจร่างกายกับเพื่อนๆนะคะ แล้วก็ฝึกเขียน H&Pตอนนี้มี First Aid for the USMLE Step2 CS เห็นได้รีวิวดีเหมือนกัน
ตอนสมัยนั้นลูกแม่ดอกบัวใช้ Mastering the OSCE/CSA: Objective Structured Clinical Examination/Clinical Skills Assessment ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีให้อ่าน มีหนังสือของ Kaplan ด้วยที่ใช้ประกอบการสอน ลองเอามาอ่านดูได้
ข้อสำคัญคือ จับคู่ซ้อมกับเพื่อนเยอะๆนะอย่าลืม- เคาะประตูก่อนเข้าห้อง- กล่าวคำทักทาย และแนะนำตัว(สำคัญมากในมารยาทของประเทศนี้)- เวลาจะเปลี่ยนหัวข้อให้ใช้ transition - คลุมผ้าเวลาตรวจร่างกาย- ล้างมือก่อนตรวจร่างกาย(เวลาล้างมือจะได้คิดไปด้วยว่าจะต้องตรวจระบบไหนบ้าง)-
สรุปหลังตรวจร่างกาย คิดว่าเค้าเป็นอะไรต้องทำอะไรต่อ เช่น แลป เอ็กซเรย์ รวมถึงให้คำแนะนำ เช่น เลิกสูบบุหรี่ เลิกเหล้า ออกกำลังกาย - ถ้าตรวจร่างกายแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็บอกเค้าว่า ยังไม่รู้ขอดูผลแลปก่อน (So far, there are possibilities that you have heart problem or stomach problem. It is too soon to give the definite answer. I would like to run some test and we will discuss more after that.)- แสดงท่าทางมั่นใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส- ทำท่าเห็นอกเห็นใจ เวลาเค้าทำท่าเจ็บหรือเวลาที่เราบอกข่าวร้าย(เช่น เป็นมะเร็ง)- ก่อนจบถามเค้าว่ามีคำถามอะไรไหม แล้วตอบคำถามสั้นๆ อธิบายเป็นภาษาง่ายๆ ไม่ใช้ศัพท์แพทย์- เชคแฮนด์และบอกลาก่อนจบ
ขอบคุณเจ้าของบทความมา ณ ที่นี้

USMLE step 2ck ( บทความจากลูกแม่บัว )

USMLE step 2CK

เนื้อหาที่ครอบคลุมดังนี้ค่ะ- internal medicine- obstetrics and gynecology- pediatrics- preventive medicine- psychiatry- pharmacology- surgery- other areas relevant to provision of care under supervisionเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ- diagnosis- prognosis- underlying mechanisms of disease- then next stop in medical care, including previentive measures

จำนวนข้อสอบและเวลาในการสอบข้อสอบเป็นแบบ multiple choice 370 ข้อแบ่งเป็น 8 blocks ให้เวลา 60 นาทีในแต่ละบลอก เวลาสอบทั้งหมด 9 ชั่วโมงค่ะ

การสมัครสอบเหมือน step 1ค่าสอบ$695 ถ้าเลือกสอบนอกประเทศสหรัฐอเมริกาต้องเสียค่า deliver surcharge ด้วยค่ะสถานที่สอบเหมือน step 1

จะอ่านหนังสืออะไรดีซื้อ First Aids for USMLE step 2 มาอ่านแล้วอ่านหนังสือเล่มเค้าที่รีวิวว่าดีน่ะค่ะถ้ามีเงินสมัครเรียน Kaplan ก็จะดีมากเพราะเค้าจะสรุปส่วนที่สำคัญได้ดี ที่สำคัญอย่าลืมฝึกทำข้อสอบเยอะๆ อันนี้สำคัญมากเพราะข้อสอบเยอะมากและโจทย์ก็ยาวๆ เวลาฝึกให้จับเวลาด้วยค่ะข้อสอบที่คล้ายของจริงมากที่สุดคือ Q Bank ของ Kaplan
ตอนนี้เห็นมีหลายคนใช้ข้อสอบจาก usmleworld(http://www.usmleworld.com/) แต่ลูกแม่ดอกบัวไม่เคยใช้เลยไม่ทราบว่าดีหรือเปล่านะคะ

USMLE step 1 ( บทความจากลูกแม่บัว )

USMLE step 1

เนื้อหาที่ครอบคลุมดังนี้ค่ะ- anatomy- behavioral sciences- biochemistry- microbiolgoy- pathology- pharmacology- physiology- interdisciplinary topics i.e nutrition, genetics and aging

จำนวนข้อสอบและเวลาในการสอบข้อสอบเป็นแบบ multiple choice 350 ข้อแบ่งเป็น 7 blocks ให้เวลา 60 นาทีในแต่ละบลอก เวลาสอบทั้งหมด 8 ชั่วโมงค่ะ

การสมัครสอบสำหรับพวกเราซึ่งเป็นนักเรียนหรือจบมาจากโรงเรียนแพทย์นอกประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดานะคะ รายละเอียดการสมัครเข้าไปดูได้ใน ECFMG website(http://www.ecfmg.org/)

ตอนที่สมัครสอบเราต้องเลือก eligibility period ซึ่งมีระยะเวลา 3 เดือนนะคะ เช่น มกรา-กุมภา-มีนา หรือ กุมภา-มีนา-เมษา ซึ่งหลังจากได้ใบตอบกลับ(scheduling permit)แล้วเนี่ยเราจะสามารถนัดวันสอบได้ค่ะ โดยวันสอบจะต้องอยู่ในช่วงสามเดือนที่เราเลือกไปนะคะ

เราสามารถนัดวันสอบที่ Prometric Test Center ล่วงหน้าได้ 6 เดือนค่ะ ถ้าบังเอิญมีเรื่องอะไรที่ทำให้เราไม่สามารถสอบในช่วงสามเดือนที่เราลือกนี้ได้ เราสามารถต่อเวลาสอบได้ 1 ครั้ง(เช่น สมัครสอบม.ค.ถึงมี.ค.ไว้แล้วสอบไม่ได้ สามารถยื่นเรื่องขอต่อเวลา ได้เป็นเม.ย.ถึงมิ.ย.) แต่ต้องเสียคร่าปรับด้วยค่ะ ถ้าหลังจากต่ออายุแล้วยังสอบในช่วงนั้นไม่ได้อีก ต้องส่งใบสมัครและเสียค่าสมัครราคาเต็มค่ะถ้านัดวันสอบไว้แล้วแต่ติดธุระไปสอบไม่ได้ สามารถโทรไปเลื่อนหรือยกเลิกวันสอบได้ แต่วันสอบใหม่ต้องอยู่ในช่วงสามเดือนที่เราเลือกไว้นะคะ เราจะโทรไปบอกเลื่อนหรือยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ก่อนถึงวันสอบ ถ้าโทรไปก่อนวันสอบเดิม 14 วันทำการจะไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม แต่ถ้าโทรไปเลื่อนหรือยกเลิกน้อยกว่า 14 วันทำการก่อนวันสอบต้องเสียเงิน $150 ถ้าพลาดไปไม่ได้สอบวันที่เรานัดไว้แล้ว เวลาที่เรานัดวันใหม่จะต้องเสียเงิน $400 แนะนำว่าถ้าแน่ใจว่าเราไปสอบวันที่เรานัดไปแล้วไม่ได้ เช่น ติดธุระ หรืออ่านหนังสือไม่ทันอยากเลื่อนวันสอบ ให้โทรไปยกเลิกวันสอบไว้ก่อน แล้วค่อยโทรไปนัดวันสอบใหม่ทีหลัง จะได้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มค่ะค่าสอบ$695

ถ้าเลือกสอบนอกประเทศสหรัฐอเมริกาต้องเสียค่า deliver surcharge ด้วยค่ะสถานที่สอบดูได้จาก http://www.prometric.com/

ในประเทศไทยมีสอบที่ตึกมณียาค่ะBANGKOK MANEEYA CENTER #1, THAILANDBANGKOK, THA 10330Phone: 6626520734Site Code: 8481

จะอ่านหนังสืออะไรดีแนะนำให้ซื้อ First Aid for the USMLE Step 1 มาอ่านค่ะ อ่านหลายๆรอบนะคะ ส่วนเนื้อเรื่องในแต่ละวิชาตรงท้ายเล่มจะมีรีวิวหนังสือไว้ค่ะ เลือกซื้อเล่มที่เค้าให้เกรด A นะคะ

ถ้ามีเงินสมัครเรียน Kaplan ก็จะดีมากเพราะเค้าจะสรุปส่วนที่สำคัญได้ดี ที่สำคัญอย่าลืมฝึกทำข้อสอบเยอะๆ อันนี้สำคัญมากเพราะข้อสอบเยอะมากและโจทย์ก็ยาวๆ เวลาฝึกให้จับเวลาด้วยค่ะ เพราะตอนลูกแม่ดอกบัวไปสอบน่ะประหม่ามาก อ่านโจทย์ช้าและกลัวผิดเลยอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ผลสุดได้ในบลอคแรกทำข้อสอบไม่ทันค่ะ ข้อไหนไม่รู้จริงๆแนะนำให้เดาไปเลยค่ะ อย่าไปเสียเวลานะข้อสอบที่คล้ายของจริงมากที่สุดคือ Q Bank ของ Kaplan ส่วนใน NMS ยากไปหน่อย

USMLE คืออะไร ? ( บทความจากลูกแม่บัว )

USMLE คืออะไร?

USMLE หรือ The United States Medical Licensing Examination ที่หลายๆคนเรียกสั้นๆว่า ยูสไมล์(ไอคราย)คือการสอบเพื่อให้ได้ใบประกอบโรคศิลป์เพื่อที่จะทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะการสอบประกอบไปด้วย 3 ส่วนนะคะ ได้แก่ USMLE step1, step2CK, step2CS(CSA), step3 ค่ะ

ใครสอบ USMLE ได้บ้าง ?

Step1, step2CK และ step2CS-
นักศึกษาแพทย์ที่ลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพื่อที่จะได้ MD degree ซึ่งได้รับการรับรองจาก LCME-

นักศึกษาแพทย์ที่ลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพื่อที่จะได้ DO degree ซึ่งได้รับการรับรองจาก AOA-

นักศึกษาแพทย์ที่ลงทะเบียนเรียนหรือจบจากในโรงเรียนแพทย์นอกประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซื่งมีคุณสมบัติครบตามที่ ECFMG กำหนด

<--พวกเราอยู่ในกลุ่มนี้นะคะStep3- ได้รับปริญญา MD (หรือเทียบเท่า) หรือ DO- ผ่าน step1, step2CK และ step2CS - มีคุณสมบัติครบตาม requirement ของรัฐที่คุณต้องการสมัคร

ลำดับของการสอบสำหรับ step1, step2CK และ step2CS สอบตัวไหนก่อนก็ได้แนะนำให้สอบเรียงตามนี้ค่ะ 1 -> 2CK -> 2CS เพราะเวลารีวิวสอบจะใช้เป็นพื้นฐานในส่วนต่อไปได้ควรพยายามสอบทั้ง 3 step ให้ผ่านภายใน 7 ปีนะคะ

ข้อจำกัดของจำนวนครั้งและระยะเวลาในการสอบขึ้นกับว่าเป็นรัฐไหนค่ะถ้าสอบตกหรือทำข้อสอบไม่เสร็จจะสอบได้อีกเมื่อไหร่- สามารถสอบได้ไม่เกิน 3 ครั้งในระยะเวลา 12 เดือน- ไม่สามารถสอบ step เดิมในระยะเวลา 60 วันนับจากวันสอบครั้งล่าสุด- step1, step2CK สอบใหม่ได้ไม่เร็วกว่า 60 วันนับจากวันสอบครั้งล่าสุด- step2CS, step3 eligibility period สำหรับสอบให่เริ่มไม่ต่ำกว่า 60 วันนับจากวันสอบครั้งล่าสุด- step3 ไม่สามารถสมัครได้เร็วกว่า60 วันนับจากวันสอบครั้งล่าสุด
ข้อมูลจาก 2006 Bulletin Information USMLE รายละเอียดดูที่นี่นะคะwww.usmle.org
*หมายเหตุ* จุดประสงค์ของการเขียนบลอกอันนี้ก็เพื่อให้ overview กับคนที่สนใจหรือกำลังจะสอบ USMLE ค่ะ ไม่ได้ต้องการตั้งตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญนะคะ เพียงแค่เคยมีประสบการณ์การสอบมาก่อน ถ้าพบความผิดพลาดอะไรช่วยแจ้งมาที่ lotus2b@gmail.com ด้วยนะคะ ถ้ามีคำถามก็สามารถเขียนมาได้ค่ะ ถ้าตอบไม่ได้จะบอกตามตรงว่าตอบไม่ได้ เพราะไม่อยากเดาแล้วให้ข้อมูลที่ผิดๆไป ถ้าตั้งคำถามไว้ที่ thaiclinic.com/doctorroom ก็จะดีมากเพราะมีพี่ๆ เพื่อนๆ ที่มีความรู้และประสบการณ์เยอะ(มากๆ)มาช่วยตอบค่ะ
*หมายเหตุ 2* ข้อมูลนี้แปลมาจาก 2006 Bulletin of Information USMLE ค่ะ ก่อนสมัครหรือสอบเช็คที่เว็บไซต์ก่อนเพราะข้อมูลเปลี่ยนตลอดเวลา อันนี้สำคัญมากค่ะโชคดีในการสอบทุกๆคนค่ะ

บทความแพทยศาสตร์เข้มแข็ง แกร่งที่ฐาน แรงที่การสานต่อ



แพทยศาสตร์ศึกษาเข้มแข็ง: แกร่งที่ฐาน แรงที่การสานต่อ
พรทิพย์ กาญจนนิยต
นพรัตน์ ประสาทเขตการณ์

“ในชีวิตนี้ เราชอบใจอะไรบ้างในการเป็นแพทย์”

บ่ายวันหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ “อาจารย์หมออาวุธ” ได้เล่าให้ฟังว่า ถ้าถามท่านถึงคำถามนี้ ท่านจะนึกขึ้นมาได้ทันทีและยังคงจำได้ไม่ลืม เรื่องที่รักษาเด็กอายุขวบกว่าซึ่งป่วยเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมัยนั้นท่านเพิ่งเป็นแพทย์ประจำบ้าน และเป็นช่วงเดียวกันกับการเริ่มนำยาเพนิซิลินเข้ามาใช้ในการรักษาโรค ต้องฉีดยาตัวนี้ให้เด็กทุก 3 ชั่วโมงและทุกครั้งที่ฉีดยา เด็กจะโวยวายและแสดงอาการก้าวร้าวใส่หมอตลอดเวลา

จากตึกคนไข้ไปยังที่พักของแพทย์ค่อนข้างห่างกันมาก และที่ตึกคนไข้ท่านต้องเดินขึ้นไปชั้นบนอีก หลังจากปฏิบัติภารกิจเป็นเวลาสองวันครึ่ง เช้าวันที่สามเมื่อท่านไปฉีดยาให้คนไข้ตามปกติ พอเด็กน้อยคนนั้นซึ่งยืนเกาะเตียงอยู่เห็นหน้าท่านก็เรียก “หมอ..หมอ” และยิ้มให้ อาจารย์หมออาวุธเล่าว่า ท่านเห็นแล้วดีใจมากเพราะรู้ว่าเด็กสบายดีขึ้นมากแล้ว จึงเปลี่ยนพฤติกรรมจากความก้าวร้าวมาเป็นมิตร แถมยังจำหมอที่มาฉีดยาให้ตนเองได้อย่างแม่นยำเสียด้วย

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของรางวัลทางใจที่หนุนให้ “ต่อมอยากเขียน” ของผู้เขียนเต้นตึ้กๆ ขึ้นมาอย่างมากอีกครั้ง เพราะเมื่อฟังอาจารย์หมออาวุธเล่าเรื่องนี้แล้ว ทำให้ซาบซึ้งกับคุณค่าของการเป็นแพทย์มากยิ่งขึ้น เพราะรู้ว่าคุณค่าทางใจอย่างนี้ไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงินทอง ทำให้ผู้เขียนถามอาจารย์หมออาวุธต่อไปอีกว่า ทำอย่างไรจึงสามารถกระตุ้นให้คณะแพทยศาสตร์ต่างๆพัฒนาต่ออย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อ ให้ผลิตแพทย์ที่เก่งทั้งวิชาการและ “มีใจ” ให้กับวิชาชีพอย่างเต็มที่ เพราะเรื่องการสร้างคนใช่ว่าจะเนรมิตให้มีคุณภาพได้ในชั่วข้ามปี ทั้งการพัฒนาให้มีคุณภาพต่อเนื่อง คงต้องอาศัยพลังร่วมมากมาย…..แล้วผู้เขียนก็ได้คำตอบ

จุดเริ่มของพระปณิธาน : ฐานที่แกร่งของแพทยศาสตร์ศึกษา

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก “องค์บิดาแห่งการแพทย์ของไทย” เมื่อครั้งกลับจากการเป็นนายทหารเรือที่ประเทศเยอรมนี ทรงมีพระดำรัสว่า “…รู้สึกสลดใจว่าตั้งแต่หม่อมฉันเกิดมาเห็นแต่เสด็จแม่ทรงเป็นทุกข์โศก ไม่มีอะไรที่จะทำให้ชื่นพระหฤทัยเสียเลย สงสารเสด็จแม่ จึงคิดว่าลูกผู้ชายของท่านก็เหลืออยู่แต่หม่อมฉันคนเดียว ควรจะสนองพระคุณด้วยทำการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เสด็จแม่ทรงยินดีด้วยเห็นลูกสามารถทำความดี ให้เป็นคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองได้…..…จึงคิดว่าการช่วยชีวิตผู้คนพลเมืองเป็นการสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งหม่อมฉันอาจจะทำได้โดยลำพังตัวเพราะทรัพย์สินส่วนตัวก็มีพอจะเลี้ยงชีวิตแล้ว จะสละเงินที่ได้รับพระราชทานในส่วนที่เป็นเจ้าฟ้าเอามาใช้เป็นทุนทำการตามความคิดให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง……”

ด้วยความผูกพันที่พระองค์ท่านที่มีต่อพระชนนี จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่นับเป็นบุญของประชาชนชาวไทยทั่วหล้าที่พระองค์ท่านมีพระปณิธานที่จะทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมือง ที่สำคัญต่อจากนั้นก็คือ จากพระปณิธานดังกล่าว พระองค์ท่านได้ตัดสินพระทัยศึกษาวิชาแพทย์
“…ฉันจะไปเรียนหมอละ เพราะว่าเป็นวิชาที่สนุกดี เรามีโอกาสได้รักษาคนได้ ทั้งคนจน คนมั่งมี และเจ้านายต่าง ๆ ได้เต็มที่ หมอทำกุศลในการรักษาพยาบาลได้ดี…”
ภายหลังสำเร็จทางการศึกษาทางการแพทย์ พระองค์ท่านได้ทรงจัดตั้งกองทุนเพื่อการค้นคว้าวิจัยและการสอนในโรงพยาบาลศิริราชโดยทรงเจรจาตกลงกับมูลนิธิรอกกีเฟลเลอร์ (Rockefeller) ในปี พ.ศ.2464ซึ่งพร้อมจะให้ความช่วยเหลือ แต่ขอให้รัฐบาลปรับเงื่อนไขบางประการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แพทย์ที่สำเร็จการศึกษาแล้วเป็นแพทย์ที่มีคุณภาพ ดังนี้

- ปรับระดับวุฒิการศึกษาจากประกาศนียบัตรทางการแพทย์เป็นปริญญาทางการแพทย์
- กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าศึกษาทางการแพทย์ว่าต้องจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 ซึ่งจากเงื่อนไขนี้ทำให้กระทรวงศึกษาธิการต้องปรับให้มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 8 ขึ้น
- ปรับเงินเดือนแพทย์จาก 80 บาท เป็น 160 – 240 บาท
- จัดทำหลักสูตรเตรียมแพทย์ โดยแบ่งเป็น 2 ปี และ 4 ปี
- จัดหาศาสตราจารย์ทางการแพทย์ในต่างประเทศเข้ามาช่วยสอน
- ส่งคนไทยไปศึกษาในต่างประเทศเพื่อกลับมารับงานต่อ
- จัดให้มีการศึกษาหลังปริญญา
- จัดให้มีคณบดี

นอกจากทุนดังกล่าวแล้ว พระองค์ท่านยังได้ทรงจัดตั้งทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ขึ้น เพื่อส่งนักเรียนไทยไปเรียนต่างประเทศ โดยให้เรียนตามความสามารถ แต่ต้องเรียนดี เมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาจะต้องหางานทำเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเหล่านี้จบกลับมา รัฐบาลก็มักจะดึงตัวไปทำงานด้วยเป็นส่วนใหญ่
พระองค์ท่านยังทรงเน้นย้ำถึงการพัฒนาคุณภาพของผู้เป็นแพทย์อย่างต่อเนื่อง ดังปรากฏพระดำรัสที่สำคัญความว่า “…การที่เรียนจบหลักสูตรวิชาแพทย์นั้นไม่ได้หมายความว่านักเรียนผู้นั้นได้เรียนรู้การแพทย์ทั้งหมดแล้ว แต่เป็นการตรงกันข้าม การที่เรียนจบนั้นเป็นแต่เพียงขั้นหนึ่งของวิชาการศึกษาทางแพทย์คือว่าความจริงนักเรียนผู้นั้นได้เรียนจบตามตำรา และบัดนี้เป็นผู้ที่สมควรและสามารถจะรับผิดชอบในการเรียนต่างๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพของประชาชนที่ไม่สมบูรณ์ โดยวิธีการทำจริงและโดยลำพังตนเองได้เท่านั้น เป็นการเรียนวิชาการแพทย์ต่อ แต่เป็นโดยวิธีที่ต่างกับวิธีเดิมบ้างเล็กน้อย จะเป็นแพทย์ที่ดีต่อไปในภายหน้าไม่ได้ นอกจากแพทย์ผู้นั้นเมื่อสำเร็จวิชามาใหม่ๆ จะรู้สึกพบว่าตนจะต้องยังคงเป็นนักเรียนอยู่ต่อไปอีกตลอดเวลาที่ทำการแพทย์นั้น…”

38 ปี ของพระองค์ท่านจึงถือได้ว่าเป็นการวางฐานรากทางการแพทย์ที่สร้างจากพระปณิธานของพระองค์อย่างแท้จริง ซึ่งทรงสานต่อด้วยความริเริ่มอย่างเป็นรูปธรรมที่เน้นความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทำให้เกิดพลังในการสานต่อคุณภาพของแพทยศาสตร์ศึกษาตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน


แพทยศาสตร์ศึกษาในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2495 - ปัจจุบัน

หน้าที่หลักที่ชัดเจนอย่างหนึ่งของการเป็นแพทย์คือ การรักษาชีวิตคนไข้ให้หายหรืออย่างน้อยที่สุดมีอาการทุเลาลงจากโรคที่รุมเร้า ผู้เป็นแพทย์จึงจำเป็นต้องได้รับการเรียนรู้ ฝึกฝนและพัฒนาอย่างใกล้ชิด และด้วยความที่เนื้อหาสาระที่มีอยู่มากมาย ทำให้เกิดความท้าทายต่อการจัดการเรียนการสอนทางการแพทย์เป็นอย่างมาก กาลสมัยก็มีส่วนทำให้ต้องวางระบบบริหารจัดการเรียนการสอนที่แตกต่างออกไปเช่นกัน
อาจารย์หมออาวุธเล่าว่า สมัยก่อนต้องใช้ “ความเป็นแพทย์จริงๆ รักษาคนไข้” ซึ่งหมายถึง การรักษาด้วยความรู้ รู้ว่าจะใช้วิธีอะไร ซึ่งจะใช้วิธีการซักประวัติและตรวจร่างกาย (ดู คลำ เคาะ ฟัง) เป็นสำคัญ แต่ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ห้องปฏิบัติการจึงมีอิทธิพลต่อการตรวจโรคมากขึ้น ทำให้แพทย์ในปัจจุบันพึ่งพาผลที่ได้จากห้องปฏิบัติการและเครื่องมือมากกว่าการพัฒนาความสามารถส่วนบุคคลเช่นแพทย์ในอดีต

ปัจจุบัน หากไม่มีห้องปฏิบัติการแพทย์จะทำงานยากมาก แม้แต่เรื่องการฉีดยาหรือเจาะเลือดได้กลายเป็นงานของพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาล แพทย์จึงไม่ได้มีการฝึกหัดทักษะทางด้านนี้มากพอ ต่างกับสมัยก่อนซึ่งมีเครื่องมือที่จะช่วยทางการแพทย์น้อย ทำให้หมอต้องเก่งด้วยตัวเองให้มากที่สุด
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงแพทยศาสตร์ศึกษาจึงต้องมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย การศึกษาแพทย์ในปัจจุบันมีความก้าวหน้ามากประกอบด้วยจำนวนผู้เรียนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงต้องนำรูปแบบการจัดการเรียนการสอนสมัยใหม่เข้ามาช่วยให้มีความหลากหลาย มีการสอนจากประสบการณ์จริง ให้ผู้เรียนเลือกเรียนตามวิธีการของตนเอง การจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อย อาจารย์กับลูกศิษย์ปฏิสัมพันธ์โดยตรง ทั้งยังมีการนำวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem – based Learning) วิธีอ้างอิงหลักฐานที่ชัดเจน รวมทั้งการใช้ชุมชนเป็นฐานของการจัดการเรียนการสอนอีกด้วย

ด้วยศาสตร์ของวิชาแพทย์เองและด้วยศิลปะของวิธีการปฏิบัติต่อคนไข้ ทำให้การจัดการเรียนการสอนทางการแพทย์ซึ่งมุ่งหวังว่า ลูกศิษย์จะต้องรู้อย่างน้อยเท่าอาจารย์ ต้องมีความทันสมัยและยืดหยุ่นพอที่จะปรับเปลี่ยนให้เอื้อต่อการเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้ได้ ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในวงการแพทยศาสตร์ศึกษาจำเป็นต้องก้าวให้ทันกับวิธีการเรียนการสอนแบบใหม่ๆ และนำวิธีการที่หลากหลายเข้ามาปฏิบัติจริงเพื่อให้สามารถเลือกวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในขณะนั้นๆ มาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งจะทำให้แน่ใจได้ในระดับหนึ่งว่า ได้มีการพัฒนาคุณภาพให้สอดรับกับวิทยาการที่ทันสมัย เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในเวลานั้นๆ อย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนี้ เนื้อหาสาระของวิชาแพทย์ที่เพิ่มขึ้นและซับซ้อนขึ้น วิธีการถ่ายทอดวิชาความรู้ของแพทยศาสตร์จึงต้องเน้นเสมอว่า จะต้องทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ต่อเนื่องได้ด้วยตนเองจนติดเป็นนิสัย ดังนั้น จึงมีการนำวิทยาการและวิธีการเรียนการสอนต่างๆ เข้ามาใช้ เช่น

1. เทคโนโลยีและสื่อการเรียนการสอน
จากอดีตที่มีเพียงกระดานดำและชอล์ก ที่ไหนมีการใช้สไลด์ถือว่าทันสมัยมาก ปัจจุบันเทคโนโลยีที่จะสามารถนำมาใช้ในการศึกษาแพทยศาสตร์มีอยู่หลากหลาย แพทยศาสตร์ศึกษาจึงมักจะล้ำหน้านำยุคเสมอ จนถ้าที่ไหนไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์หรือ Visualizer จะถือว่าไม่ได้มาตรฐาน
ด้วยความเป็นแพทย์ที่มีการฝึกฝนให้อยากรู้อยากเรียนอะไรที่เป็นเครื่องหมายคำถาม อยากแก้ปัญหา อยากทำเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องท้าทาย จึงนับว่าเป็นจุดดีของแวดวงแพทยศาสตร์ศึกษาที่จะสนใจลงมือพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมด้วยตนเอง

2. การเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การเรียนรู้ของนักศึกษาแพทย์เป็นหัวใจหลักของแพทยศาสตร์ศึกษา การจัดการเรียนการสอนจึงต้องเน้นผู้เรียนตลอดเวลา และนำวิธีการที่หลากหลายเพื่อสนองตอบต่อลักษณะของผู้เรียนแตกต่างกัน

3. การประกันคุณภาพ
การประกันคุณภาพเป็นสิ่งที่สำคัญและเหมาะกับวิชาแพทย์มาก เป็นแรงขับเคลื่อนที่สร้างความชัดเจนและทำให้ศาสตร์ของวิชาการแพทย์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 50 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการพัฒนาด้านเนื้อหาสาระและวิธีการ


หัวใจใฝ่คุณภาพ คือ การไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนา

แม้ว่าโดยพื้นฐานของผู้เข้ามาเรียนแพทย์จะเป็น “ระดับมันสมองชั้นยอด” ของประเทศ แต่การพัฒนาแพทยศาสตร์ศึกษาอย่างต่อเนื่องไม่ใช่การที่คนเก่งๆ มาอยู่ในที่ที่เดียวกันเท่านั้น หากแต่ว่าคนกลุ่มนี้จะต้องมีหัวใจที่ใฝ่คุณภาพที่จะร่วมมือกันเดินหน้าพัฒนาแพทยศาสตร์ศึกษาอย่างไม่หยุดนิ่งด้วย

กลไกสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านวิชาแพทย์ตลอดมาคือ การประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งชาติ ซึ่งมีมาตั้งแต่ พ.ศ.2499 และได้จัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องถึง 7 ครั้งแล้ว โดยแต่ละครั้งจะจัดห่างกันประมาณ 7-8 ปี

การประชุมดังกล่าวเป็นการรวบรวมความคิดเห็นของแพทย์ทั่วประเทศและได้นำความคิดเห็นเหล่านั้นมาเป็นข้อชี้แนะว่าแนวทางการศึกษาแพทย์และการบริการสุขภาพควรจะดำเนินไปอย่างไรในทิศทางใด

ในระยะแรกเนื้อหาของการประชุมจะเป็นเรื่องของการปรับปรุงหลักสูตร เพิ่ม-ลดวิชา แต่ต่อมาได้ขยายกรอบออกไปเป็นเรื่องของการจัดการเรียนการสอน การให้บริการสาธารณสุข การกระจายแพทย์ การศึกษาหลังปริญญา โดยยังคงให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องถึงคุณธรรมจริยธรรมในการศึกษาแพทย์และการแพทย์ทุกระดับ การส่งเสริมการวิจัย การส่งเสริมและพัฒนาอาจารย์แพทย์ และการติดตามประเมินผล การประชุมดังกล่าวจึงได้มีแลกเปลี่ยนสาระและข้อคิดเห็นเชิงวิชาการรอบด้านที่เท่าทันต่อยุคสมัยและความก้าวหน้าของโลก ในปัจจุบันจุดเน้นของแพทยศาสตร์ศึกษาจึงไม่ใช่เป็นเรื่องของสาธารณสุขอีกต่อไป แต่เน้นไปถึงสุขภาพ ซึ่งจะครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ คุณภาพชีวิต เพราะโลกทุกวันนี้ แพทย์ไม่ได้ทำหน้าที่รักษาโรคเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องรู้จักป้องกัน รู้จักบูรณาการให้ทุกอย่างสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อความอยู่ดีมีสุขด้วย

ประเด็นหลักอีกประเด็นในการพัฒนาแพทยศาสตร์ศึกษา คือ การข้ามเส้นคั่นของ “ศาสตร์” ของตนเองไปสู่การประสานความร่วมมือกับทุกหน่วย / องค์กรที่เกี่ยวข้อง จึงได้มีการจัดประชุมประจำปีอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า การประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย

การประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย คือ การจัดเวทีให้กับผู้วิจัยที่ศึกษาทางแพทยศาสตร์ศึกษามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และในขณะเดียวกันก็เรียนรู้ถึงความก้าวหน้าและแนวโน้มใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น จึงมีการนำผลการวิจัยมาแสดงในที่ประชุมด้วย ซึ่งนับได้ว่าเป็นความพยายามที่จะสนับสนุนให้เกิดศาสตร์ทางด้านนี้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งได้มีการปรับความถี่ในการจัดประชุมให้เหมาะสมจนในปัจจุบันมีการจัดประชุมฯ ปีละครั้ง ทำให้ได้เนื้อหาสาระที่เข้มข้น

เบื้องหลังความไม่หยุดนิ่ง คือ ความจริงของการสานความร่วมมือ

ผู้เขียนชอบใจการเปรียบเทียบการว่ายน้ำของเป็ดกับการจัดประชุมอย่างมากว่า การประชุมที่ดูแล้วเรียบร้อยไม่ขลุกขลัก เปรียบเสมือนฝูงเป็ดที่เราเห็นในลำน้ำ ซึ่งดูว่าว่ายไปมาอย่างเพลิดเพลิน โดยหลายต่อหลายคนอาจไม่ทราบหรือไม่ได้นึกถึงด้วยซ้ำว่า ภายใต้ความราบรื่นนั้น ขาของเป็ดทุกตัวในฝูงนั้นต้องทำงานอย่างขมีขมันตลอดเวลา

ความก้าวหน้าโดยภาพรวมของแพทยศาสตร์ศึกษาก็เช่นกัน ในขณะที่ผู้ที่อยู่วงนอก (หรือ “วงใน” เองที่ไม่ค่อยยอมเป็น “วงใน”) อาจไม่ทันได้นึกถึง “ขาเป็ด” ที่สานต่อฐานของแพทยศาสตร์ศึกษาเท่าไรนัก คนนอกวงการแพทยศาสตร์ศึกษาอาจไม่ค่อยได้รู้จักกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) กลุ่มสถาบันฯ นี้จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2532 โดยในครั้งนั้น ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้เชิญคณบดีคณะแพทยศาสตร์มาประชุมและเห็นร่วมกันว่าควรเป็นความร่วมมือระหว่างโรงเรียนแพทย์ เพื่อเร่งรัดพัฒนาแพทยศาสตร์ศึกษาด้วยกัน

หลังจากนั้นเป็นต้นมา กสพท. จึงได้เข้ามามีบทบาทในการสานต่อความเข้มแข็งของโรงเรียนแพทย์ให้ช่วยเหลือกันมากขึ้น เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้ทุกโรงเรียนได้ก้าวทันกัน แต่ยังทำให้ทุกแห่งได้ก้าวทันพัฒนาการและความเคลื่อนไหวต่างๆ ของโลกอีกด้วย โดยผ่านกิจกรรมหลักๆ ตั้งแต่การประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งชาติและการประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย จนถึงการประชุมคณบดี(ของทุกโรงเรียนแพทย์) เป็นประจำ ปีละ 4 ครั้ง และการประชุมคณะกรรมการบริหาร กสพท. อีกอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง ไม่นับรวมการประชุม กสพท. เฉพาะกิจอีกต่างหาก

ประเด็นท้าทายของ กสพท. ที่จะทำให้สมาชิกให้และรับประโยชน์จากการรวมกลุ่ม อยู่ที่ความพยายามที่จะทำอย่างไรให้เกิดการยอมรับร่วมกันว่าต้องทำงานด้วยความร่วมมือกัน ต้องแบ่งปันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งความพยายามนี้ทำให้เกิดพัฒนาการอย่างต่อเนื่องในวงการแพทยศาสตร์ศึกษา ทำให้คณบดีทุกแห่งถือว่าเป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งที่จะต้องเข้าร่วมประชุมอภิปรายถึงการแก้ปัญหา การค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะพัฒนาวิธีและการดำเนินงานด้านคุณภาพของแพทยศาสตร์ศึกษาให้ต่อเนื่องและเข้มแข็งร่วมกัน

จนถึงทุกวันนี้ กสพท. ก็ยังคงทำหน้าที่สานความร่วมมือต่อไป และเมื่อผู้เขียนได้ย้อนอดีตกลับไปดูจุดเน้นของการประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งชาติ นับตั้งแต่ครั้งแรกจนปัจจุบันแล้ว เห็นได้ชัดว่า กสพท. ได้เป็นตัวจักรสำคัญทีเดียวที่ทำให้การรวมตัวของโรงเรียนแพทย์มีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจน ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการกำหนดวิสัยทัศน์ร่วมกันที่มุ่งเน้นอนาคตเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องการประกันคุณภาพที่ได้มีการหยิบยกมาอภิปรายตั้งแต่ครั้งแรกๆ ของการประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งชาติ และการเกาะติดแนวทางการประกันคุณภาพใหม่ๆ จนถึงการใช้การเทียบเคียงสมรรถนะ (Benchmarking) โดยใช้เกณฑ์บัลดริจในปัจจุบัน

ผลการทำงาน 15 ปีที่ผ่านมา และความไว้วางใจที่แพทยสภาให้ กสพท. เป็นหน่วยรับผิดชอบมาตรฐานของโรงเรียนแพทย์ในด้านหลักสำคัญ วิธีดำเนินการของ กสพท. ในนามของแพทยสภานี้ทำให้เกิดพลังกลุ่มของความร่วมมือที่เหนียวแน่นขึ้น เพราะเกิดการสานต่อทิศทางการดำเนินงาน และด้วยความใกล้ชิดและแบ่งปันความรู้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้มีการเปิดเสรีทางความคิดเพื่อสู่เป้าหมายเดียวกันที่ชัดเจน และยังเอื้อต่อหน่วยงาน / องค์กร โดยไม่ได้เกิดเฉพาะแวดวงแพทย์หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพเท่านั้น จึงไม่น่าสงสัยว่าทำไมคณะแพทยศาสตร์จึงเป็นแกนสำคัญในการผลักดันการประกันคุณภาพการอุดมศึกษาตั้งแต่เริ่มนโยบายประกันคุณภาพของทบวงมหาวิทยาลัย (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ.2539 ตั้งแต่มีนโยบายดังกล่าวในระดับประเทศ กลุ่มคณะแพทยศาสตร์ได้เข้าร่วมเป็นผู้วางแนวทางการดำเนินงาน เป็นผู้ฝึกอบรมผู้ตรวจสอบคุณภาพ ตลอดจนการเข้าร่วมโครงการนำร่องต่างๆ และได้มาเป็น “ผู้นำ” อีกครั้งในการผลักดันให้โรงเรียนแพทย์เริ่มก้าวสู่เวทีอาเซียนโดยมีการเทียบเคียงสมรรถนะกับโรงเรียนแพทย์ในอีก 3 ประเทศในอาเซียน

หากเป็ดแต่ละตัวเปรียบเสมือนคณะแพทยศาสตร์แต่ละแห่งที่มีฐานที่เข้มแข็ง ทุกแห่งก็คงจะได้เห็น “ขาเป็ด” ที่ขยับด้วยแรงที่อาจจะหนักเบาแตกต่างกัน แต่เมื่อรวมเป็นฝูงแล้ว ต้องมี “ผู้กำกับฝูง” ให้ “ขาเป็ด” ทั้งหลายไปด้วยกัน โดยสนับสนุนให้เป็ดทั้งหลายออกแรงมากขึ้น ที่สำคัญกว่านั้นคือการเสริมแรงให้ขยับเพื่อให้เกิด “ระบำเป็ด” ที่พร้อมเพรียงด้วย “ขาเป็ด” ที่แข็งแรงขึ้นจากการออกกำลังสม่ำเสมอและการกำกับฝูงร่วมกัน เราจะได้เห็นคุณภาพของ “ระบำเป็ด” ที่ยิ่งพร้อมเพรียงและงดงามมากขึ้นอย่างแน่นอน

››››››››››


อ้างอิง
www.fulbrightthai.org/data/knowledge/doctor.doc 31 มค. 51
http://www.thaiclinic.com/edu_foreign_5.html
1ข้อเขียนนี้ได้มาจากการพูดคุยกับศาสตราจารย์นายแพทย์อาวุธ ศรีศุกรี อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งเลขาธิการกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย รวมทั้งการอ้างอิงจากหนังสือ “มหิตลปูชา” (กรรณิการ์ สัจกุล และคณะ กรุงเทพ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2545)
2ทำให้เริ่มมีแพทย์ปริญญาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก พ.ศ.2465
3 อาจจะเปลี่ยนเป็นการประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย เพื่อให้สอดรับกับพัฒนาการของศาสตร์ด้านการแพทย์เชื่อมโยงกับศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
4เลขาธิการของกลุ่มสถาบันฯ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบันคือ ศาสตราจารย์นายแพทย์อาวุธ ศรีศุกรี
ค่าสมาชิกของ กสพท. 90,000.- บาท/ปี

การสอบ USMLE

การสอบ USMLE Step 1 ประกอบด้วยข้อสอบที่เรียกว่า Basic medical science ครอบคลุมเนื้อหาในวิชาปรีคลินิคทั้งหมด ได้แก่ Anatomy, Biochemistry, Physiology, Pathology, Pharmacology, Microbiology, Immunology และวิชาที่เรียกว่า behavioral science. ลักษณะข้อสอบส่วนใหญ่เน้นทั้งรายละเอียดและการประยุกต์ใช้ ในปัจจุบันจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับระดับอณูมากขึ้นเรื่อย ๆ

อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์การสอบและที่ได้แนะนำรุ่นน้อง ๆ ในการสอบ รวมทั้งคำบอกเล่า ของผู้ที่ได้ผ่านการสอบมาแล้ว USMLE Step1 สามารถเตรียมสอบได้โดยการอ่านหนังสือ ชั้นปรีคลินิคที่เรียน ในชั้นเรียนได้ สำหรับวิชา Anatomy นั้นจะมีในข้อสอบไม่มากนัก และเน้นเกี่ยวกับ cell biology เกือบทั้งหมด ส่วน Biochemistry, Physiology, Microbiology, Immunology และ Pathology สามารถอ่านเพิ่มเติมใน Standard textbook ของแต่ละสาขาได้ นอกจากนั้น หนังสือภาษาไทยบางเล่ม ยังสามารถอ่านทดแทน textbook ได้เลย เช่น ตำราอิมมูโนวิทยา ของศิริราช สำหรับวิชาที่เป็นจุดอ่อนของนักศึกษาแพทย์และแพทย์ไทย ใน Step 1 ได้แก่ behavioral science เพราะไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนแพทย์ อีกทั้งไม่มีตำราอ่านได้ทั่วไป จำเป็นต้องหาตำราเฉพาะซึ่งมีหลายเล่ม เช่นตำราของ NMS เป็นต้น

สำหรับ USMLE Step 2 หรือ Clinical science นั้นการเตรียมตัวอาจจะไม่ลำบากและยุ่งยากเท่า Step 1 เพราะเนื้อหาเป็นเนื้อหาวิชาที่นักศึกษาแพทย์และแพทย์คุ้นเคยกันดี อย่างไรก็ตาม การเตรียมตัวสอบก็ยังมีความจำเป็น และตำราที่ใช้เรียนไม่ว่าจะเป็นตำราภาษาไทยและ textbook ก็สามารถใช้ได้ดี แต่เช่นเดียวกันกับ Step 1 คือมีบางวิชาที่เป็นจุดอ่อนของนักศึกษาแพทย์และแพทย์ไทย นั่นคือ community medicine และ psychiatryเนื่องจากวิชาแรกนั้นเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับระบบการแพทย์และ สาธารณสุขอเมริกันทั้งสิ้น ส่วนวิชาหลังจะออกสอบเน้นในระดับอณูและ basic knowledge เช่น neurotransmitter, receptor ฯลฯ ซะมาก จึงจำเป็นต้องหาตำราเฉพาะเพื่ออ่านสอบ เช่น NMS เป็นต้น

ได้อ่านอย่างนี้แล้วบางคนอาจจะท้อ ว่าทำไมมันอ่านมากมายอย่างนี้ ก็ต้องบอกว่ามันเป็นอย่างนี้จริง ๆ ครับ จำเป็นต้องอ่านเพราะข้อสอบนั้นในแต่ละ Step มีมากจริง ๆ และออกข้อสอบครอบคลุมมาก แต่มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนักหรอกครับ ก็มีคนหัวใสจัดพิมพ์ตำราเพื่อเตรียมสอบออกมา เพราะแนวการสอบนั้นไม่ได้พลิกแพลงอะไรมาก บางแนวหรือบางข้อก็ออกซ้ำ ทำให้การอ่านตำรานี้ก็ได้ผลดีเหมือนกัน แม้จะไม่สมบูรณ์เท่ากับการอ่าน textbook จริง ๆ ซึ่งผมคิดว่าคงไม่มีใครจำเป็นต้องสอบ USMLE ให้ได้ 99 หรือ 100 ใช่ไหมครับ

ตำราเตรียมสอบต่าง ๆ มีหลายเล่มเช่น ของ Rypin ซึ่งมีทั้ง Step 1 และ 2, ตำราและตัวอย่างข้อสอบของ NMS ซึ่งมีลักษณะข้อสอบที่มีความยากง่ายคล้ายข้อสอบจริง (ไม่ทราบว่าเขาเอาข้อสอบเก่ามาทำหรือไม่), ตำรา First Aid for USMLE Step 1 และ 2 เป็นต้น สามารถหาอ่านได้ในห้องสมุดคณะแพทย์บางแห่ง เช่น ศิริราช ก็มี หรือหาซื้อได้ตามร้านหนังสือ เช่น PB หรือ Booknet เป็นต้น หรืออาจจะยืมเพื่อนที่เขามีไปถ่ายเอกสารก็ได้ครับ

โดย นพ.มานพ พิทักษ์ภากร อายุรแพทย์